Rock


Rock
ดนตรีร็อค Rock กำเนิดดนตรีร็อค

ร็อก (Rock) หรือ ร็อกแอนด์โรล (Rock"n Roll) เป็นดนตรีที่ประกอบด้วย กีตาร์ กีตาร์เบส กลอง เป็นเครื่องดนตรีหลัก รูปแบบดนตรีง่ายๆ เน้นความหนักแน่นในเนื้อหาที่ต้องการสื่อ และความสนุกสนาน คิดค้นขึ้นในค้นศตวรรษที่ 60 โดยเอลวิส เพรสลีย์ โดยการนำเอาการร้องที่ใช้เสียงสูงของเพลงบลูส์ของ คนผิวดำ ผสมกับทำนองสนุกสนานของเพลงคันทรีของคนผิวขาว เป็นการผสมผสานของวัฒนธรรมของสองเชื้อชาติ ซึ่งเอลวิส เพลสลีย์ ต่อมาได้รับการยกย่องและเรียกว่าเป็น " ราชาร็อกแอนด์โรล " และเพลงร็อกก็ได้พัฒนาและต่อยอดมาตราบอย่างหลากหลาย มาจนปัจจุบัน ที่แตกแขนงออกเป็นหลายประเภท เช่น เฮฟวี่เมทัล, เดธเมทัล, บริติสร็อก, อัลเทอร์เนทีฟ เป็นต้น



ดนตรี Rock มีรากฐานมาจากดนตรีบลูส์ (Blues) ซึ่งมีกําเนิดโดยคนผิวดําที่ถูกฝรั่งจับมาเป็นทาส คนผิวดําเหล่านี้ถูกฝรั่งใช้งานอย่างหนักในการปลูกฝ้าย และยาสูบในภาคใต้ของสหรัฐ (ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1600s) เวลาทํางานในไร่ พวกเขาปลอบประโลมใจ ด้วยการร้องเพลงเป็นจังหวะ ขุดดิน เหวี่ยงจอบเป็นจังหวะไปพร้อมๆกันนี้ คือที่มาของดนตรีบลูส์ ซึ่งจะมีลักษณะเด่นคือการขับร้องและเล่นโดยใช้ Pentatonic Scale คือว่ามันมีเสียงโน๊ตหลักๆอยู่เพียงห้าเสียง ตัวอย่างเช่นใช้คอร์ด C7 เป็นจุดเริ่มของเพลง จะพบว่าเสียงใน Pentatonic Scale นั้นจะมีโน๊ตตัว C, D#, F, G, A#, และ C สูง แต่ไม่ได้จํากัดอยู่เพียงแค่นั้น ในเรื่องของจังหวะ ดนตรีบลูส์ จะมีจังหวะที่หลากหลายและผสมผสานที่สุด ตั้งแต่ ช้ามาก จนถึงแบบ เร็วรัว และเป็นจุดเริ่มต้นของคนตรี Rock



ศิลปินที่เล่นบลูส์แบบ เร็วรัว ในช่วงแรกๆของการบันทึกเสียง (1920s-1950s) ที่หาฟังกันได้ก็จะมี Robert Johnson, Muddy Waters, Mead "Lux" Lewis, Chuck Berry, Little Richard, และ Bo Diddley
ศิลปินเหล่านี้ล้วนแต่เป็นคนผิวดํา ทําให้สังคมอเมริกัน (ซึ่งเป็นสังคมเหยียดผิว ช่วงเวลานั้น) ไม่ยอมรับ และจําต้องพยายามหานักร้องผิวขาวอย่างเช่น Elvis Presley, Pat Boon, Jerry Lee Lewis, Bill Haley มาร้องแทน แม้ว่าเพลงที่นํามาขับร้องจะเป็นเพลงของศิลปินผิวดําแทบทุกเพลงก็ตาม



ในช่วง 1950s นั้น แม้ว่าวัยรุ่นชาวอเมริกันจะไม่ยอมรับศิลปินผิวดำ แต่เด็กหนุ่มวัยรุ่นที่อยู่อีกฝั่งของมหาสมุทรแอ็ดแลนติก กลับชื่นชอบศิลปินผิวดําเป็นจํานวนมาก จนทําให้เกาะอังกฤษนั้นกลายเป็นจุดกําเนิดของวง Rock กันหลายวง และที่ออกจะมีชื่อเอามากในช่วง 1960s ก็คือ The Beatles และ The Rolling Stones
วงคนตรีทั้งสองนี้แตกต่างจากนักร้องอย่าง Elvis Presley หรือ Pat Boon ตรงที่ พวกเขาสามารถแต่งเพลงเองได้ และทําให้เกิดกระแสใหม่หลายอย่างในเพลง Rock อย่างเช่นการใช้กีต้าร์ "เสียงแตก"(Distortion) เพื่อสร้างนํ้าหนักและตอบสนองความต้องการในการฟังที่แปลกใหม่ ของเด็กรุ่นใหม่ The Beatles และ The Rolling Stones สามารถเข้าความต้องการอย่างแท้จริง ของเด็กวัยรุ่นในสหรัฐอเมริกาได้ดีกว่าศิลปินชาวอเมริกันอย่าง Elvis Presley ซึ่งเลือกที่จะอยู่ฝ่ายรัฐบาล นอกจากนั้นแล้วเพลงของ The Beatles สมัยปลายปี 1960s ยังมีเรื่องกบฎการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องเสียด้วย อย่างเช่นเพลง "Back in the USSR" และ "Revolution" ซึ่งทําให้ John Birch Society ในสหรัฐต้องออกมาประกาศว่าวง The Beatles นั้นเป็นวง "คอมมิวนิส" ไม่เหมาะสมสําหรับเยาวชน



เมื่อปี 1955 
ร็อคแอนด์โรลล์ (Rock 'n' Roll) ทำให้โลกดนตรีมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยเกิดดนตรีรูปแบบใหม่ ซึ่งมีเนื้อหาทั้งหวาน ทั้งร้อนแรง โศกเศร้า จริงใจ เปิดเผย ผสมผสานกันด้วยความรุนแรง เร่าร้อน ดุดัน แต่บางขณะกลับอ่อนหวานเกินคาดเดา
Rock 'n' Roll

เมื่อ Bill Haley and his Comets นำเพลง (We're Gonna) Rock Around the Clock ขึ้นอันดับ 1 ในบิลล์บอร์ดชาร์ท เมื่อวันที่ 9 ก.ค.1955 และอยู่ในตำแหน่งนั้นนานถึง 8 สัปดาห์ติดต่อกัน ดนตรี ร็อคแอนด์โรลล์ (Rock 'n' Roll) ก็ได้ถือกำเนิดเกิดขึ้นมา
Chuck Berry, Little Richar, Fats Domino, Bo Diddley, Ray Charles เป็นศิลปินผิวดำที่ร่วมสร้างดนตรีร็อคแอนด์โรลล์ขึ้นมาเมื่อกลางทศวรรษ ที่ 50 ด้วยเพลงร็อคดีๆมากมาย แต่ดูเหมือนร็อคแอนด์โรลล์จะขาดอะไรไปบางอย่าง
จนการมาถึงของหนุ่มนักร้องผิวขาวที่ชื่อ เอลวิส เพรสลีย์ (Elvis Presley) ต้นปี
1956 เอลวิส ในวัย 21 กับเพลง Heartbreak Hotel ที่ขึ้นอันดับ 1 ก็โด่งดังไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว เอลวิสมีเพลงฮิตหลายเพลงในปีนั้นเช่น Blue Suede Shoes, I Want You I Need You I Love You, Hound Dog, Don't Be Cruel, Love Me, Anyway You Want Me และ Love Me Tender ส่งผลให้เขากลายเป็นราชาร็อคแอนด์โรลล์ไปในทันที

Carl Perkins, Jerry Lee Lewis, Buddy Holly, Gene Vincent, The Everly Brothers, Ricky Nelson, Roy Orbison เป็นศิลปินรุ่นต่อมาที่ได้ร่วมสร้างดนตรี ร็อคแอนด์โรลล์ให้แข็งแรงขึ้น
ดนตรี ร็อคแอนด์โรลล์ เกิดจากส่วนผสมของดนตรีหลายอย่างที่มีอยู่ก่อนหน้านั้น เช่น Country, Gospel, Blues และ Rhythm and Blues แต่ต้องถือว่าเอลวิสเป็นผู้ที่ทำให้ร็อคแอนด์โรลล์โด่งดังและเติบโต มาได้ถึงทุกวันนี้
จนกระทั่ง เมื่อต้นทศวรรษที่ 60 ดนตรี ร็อคแอนด์โรลล์ เริ่มจะคลอนแคลน เพราะความคลั่งไคล้ในร็อคแอนด์โรลล์ ก่อให้เกิดการเลียนแบบอย่างไร้สาระ ถึงแม้จะมีศิลปินเกิดใหม่มากมาย แต่ก็ไม่ได้มีการพัฒนาอย่างจริงจัง จนกระทั่งหนุ่มชาวอังกฤษ 4 คน ในนามของ The Beatles
British Invasionบริทิช อินเวชั่น (Britiah Invasion) ในปี 1964 ได้ นำรูปลักษณ์ และบทเพลงใหม่ๆ ออกมาทำให้วงการร็อคแอนด์โรลล์เกิดการพัฒนาดนตรีร็อคครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด หลังจากเอลวิส เพรสลีย์ และนักดนตรีชาวอเมริกันหลายคนสร้างขึ้นมา แม้พวกเขาจะเป็นเพียงหนุ่มวัยรุ่น 4 คน ที่เกิดมาในครอบครัวของชนชั้นกรรมาชีพจากเมืองลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ แต่เมื่อได้รวมตัวกันในนามของ The Beatles และสร้างผลงานเพลงขึ้นมา พวกเขาก็ไม่ใช่แค่วงดนตรีธรรมดา
เดอะ บีเทิลส์ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งหลายอย่าง ไม่ใช่เพียงแค่ในวงการดนตรี แต่ยังหมายถึง แฟชั่น วัฒนธรรม ศิลปทุกแขนง ไปจนถึงการเมือง อิทธิพลของพวกเขาไม่ใช่แค่ ทรงผม ท่าทาง เสื้อผ้า หรือรองเท้าเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงแนวความคิด วิถีชีวิต และความเป็นอยู่ของคนรุ่นใหม่อย่างที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน ว่าจะมีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น
มีวงดนตรีจากอังกฤษเกิดขึ้นมากมายในช่วงเวลาเดียวกับวงเดอะ บีเทิลส์ แต่ที่ได้รับความนิยมมาถึงปัจจุบันได้แก่ The Rolling Stones, The Kinks และ The Who รวมทั้งที่กลายเป็น ศิลปินเดี่ยวที่มีชื่อเสียง เช่น Jeff Beck, Steve Winwood, Van Morrison และ Eric Clapton ในขณะที่ British Invasion ได้เป็นผู้นำวงการร็อคแอนด์โรลล์และวงการ พ็อพ (Pop) ดนตรีอเมริกันเจ้าของเพลงร็อคแอนด์โรลล์ ก็ได้นำดนตรี ริธึมแอนด์บลูส์ ( Rythm and Blues) ซึ่งเริ่มพัฒนามาเป็นเพลงร็อคเต็มตัว เช่นเพลงทั้งหมดจาก Motown ที่ ภายหลังถูกเรียกว่า เพลงโซล (Soul) อีกส่วนหนึ่งมาจากดนตรีของ The Beach Boys และที่สำคัญที่สุด มาจากนักร้องนักแต่งเพลงโฟล์คที่ชื่อ Bob Dylan แต่การต่อสู้ที่เข้มข้นบนอันดับเพลงในช่วงนี้ กลับเป็นการพัฒนาดนตรีร็อค ครั้งสำคัญที่สุด ทำให้เพลงร็อคมีคุณค่าและเป็นที่ยอมรับของสังคมทั่วไป
ปี 1967 วงการร็อคพัฒนาไปอีกก้าวใหญ่ แม้ว่าช่วงนั้นจะมีปัญหาทางการเมือง มีการเรียกร้องสันติภาพ มีปัญหาการใช้ยาเสพติด แต่กลับทำให้ดนตรีร็อคพัฒนาตัวแทรกเข้าถึงดนตรีประเภทอื่นๆ และย้อนกลับมาเป็นดนตรีร็อคอย่างกลมกลืน ได้เกิดดนตรีแนวBlues-Rock, Folk-Rock, Country-Rock จากการนำของวงดนตรีอย่างเช่น The Byrds, The Cream, The Paul Butterfield Blues Band จากนั้นก็เข้าสู่ยุค Psychedelic จากเพลงของ The Beatles, Jefferson Airplane, The Grateful Dead, The Doors, Pink Floyd, Jimi Hendrix และ Janis Joplin
อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญในการพัฒนาดนตรีร็อคในช่วงนี้ คือ ดนตรีโซล (Soul) จากบริษัทแผ่นเสียง Stax1 ซึ่งได้นำจังหวะเพลงที่เต็มเปี่ยมด้วยพลัง มาผสมผสานกับเพลงร็อคได้อย่างกลมกลืน

ยุค 1970s กระแสของวง Rock จากเกาะอังกฤษได้แพร่หลายโดยมีวงใหม่ๆอย่าง The Who และ Led Zeppelin เกิดขึ้นมาทำให้ตลาดบันเทิงในสหรัฐเต็มไปด้วยศิลปิน Rock จากอังกฤษ สามารถถกล่าวได้ว่าเป็นความพ่ายแพ้ของวงการเพลงสหรัฐในการตอบสนอง ความต้องการของคนรุ่นใหม่ เหมือนกับจะเป็นข้อเตือนให้เห็นว่า การเหยียดผิว ไม่ยอมรับศิลปินผิวดําของตน หรือการ "White Wash" ศิลปินดังกล่าวโดยใช้ Elvis หรือ Pat Boon นั้นเป็นสิ่งที่ไม่ยั่งยืน และทําให้เกิดช่องว่างระหว่างคนรุ่นใหม่ กับวงการบันเทิง


Rock, Hard Rock, Heavy Metal, Soft Rock ตั้งแต่ต้นทศวรรษที่ 70 เป็นต้นมา ก็ได้พัฒนาขึ้นเรื่อยๆโดยแนวทางที่ชัดเจนอยู่ 2 อย่างคือ Hard Rock เป็นดนตรีที่หนักหน่วง และ Soft Rock เป็นร็อคที่นุ่มนวลกว่า
Hard Rock, Heavy Metal
ในทางด้านสีสันดนตรีนั้น ทั้ง Heavy Metal และ Hard Rock มีความใกล้เคียง กันมาก จนแทบจะแยกกันไม่ออก โดยทั้งสองแนวนี้จะใช้เสียงในการเล่นที่ดัง เครื่องดนตรีส่วนใหญ่ จะเป็นกีตาร์ เบส และกลอง บวกกับเสียงร้อง ที่ต้องใช้พลัง มีสิ่งหนึ่งที่พอจะแยกความแตกต่างระหว่าง Heavy Metal กับ Hard Rock คือ ดนตรีในแบบ Hard Rock นั้น จะมีสำเนียงของดนตรีบลูส์ และร็อคแอนด์โรลล์ ผสมผสานกันอยู่ แต่ใน Heavy Metal นั้นมีน้อยมาก


ในช่วงต้นยุคทศวรรษ 70 นั้น Heavy Metal ซึ่งได้เติบโตมาจาก Hard Rock และพัฒนาจนมีความชัดเจน ด้วยการเล่นที่ดุดัน หนักหน่วง ร้อนแรง ผู้ฟังส่วนใหญ่เป็นวัยหนุ่มสาว ที่ต้องกาารสื่อสารกับคนภายนอก แสดงออกชัดอย่างโจ่งแจ้งทางอารมณ์และความคิด สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นสิ่งแปลกใหม่ และแหวกขนบธรรมเนียมของสังคม ที่ผ่านมานั้นมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทั้งแง่บวกและ แง่ลบกันอยู่เสมอเกี่ยวกับดนตรี Heavy Metal แต่ก็ยังได้รับ การพัฒนาอย่างต่อเนื่องและเป็นที่ยอมรับ มาเรื่อยๆ
ตั้งแต่ 1970 เป็นต้นมา ดนตรี Hard Rock และ Heavy Metal ได้ แตกแขนงออกไปจนมีลักษณะเฉพาะของตัวเองแยกออกไปเป็นชื่อต่างๆ ที่เรียกตาม ลักษณะดนตรี บางครั้งแบ่งตามลักษณะของการแต่งตัว แบ่งตามลักษณะของเนื้อหา ซึ่งมีชื่อเรียกแตกต่างกันได้แก่ Glam Rock, Arena Rock, Boogie Rock, Pop- Metal, British Metal, Thrash, Neo-Classic Metal, Speed Metal, Death Metal, Guitar Virtuoso, Progressive Metal, Punk Rock, Rap Rock. Soft Rock
Soft Rock 

และอีกแนวเพลงที่เกิดขึ้นในตอนต้นของปี 1970 มีลักษณะเพลงที่เรียบง่าย ทำนองรื่นหู มีความสวยงาม อ่อนโยน และเป็นที่ชื่นชอบของผู้ฟังทั่วไป ศิลปินที่ มีชื่อเสียงได้แก่ The Carpenters, Bread, Carole King, The Eagles, Elton John และ Chicago ซึ่งสร้างผลงาน ดนตรีที่มีความเรียบง่ายแต่มีความไพเราะและกลายเป็นบทเพลงที่ยิ่งใหญ่ในเวลาต่อมา กลายเป็นจุดเริ่มต้นของงาน ที่ให้ความสำคัญกับความอ่อนหวานในบทเพลง
ตลอดทศวรรษที่ 70 ดนตรีร็อคได้มีการพัฒนาและแตกแขนงกลายเป็นดนตรีอีกหลาย แนว โดยมีชื่อเรียกต่างกันออกไป ได้แก่ Pop Rock, Pop Dance, Dance, Easy Listening, Folk Rock, Jazz Rock , Disco และอื่นๆ
ปัจจุบันดนตรี Rock ได้วางรากฐานไว้ในดนตรีแทบทุกประเภท โดยมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ดนตรี ร็อคยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และคงยังได้รับความนิยมอยู่เสมอมา
ดังคำกล่าวของ วงโรลลิ่งสโตนว่า "ก็แค่ร็อค แต่ก็ชอบนะ"



>>ตัวอย่างเพลง Rock เพราะๆ<<




,

" B B 'Blue Boy' King Lonely and Blue "


" B B 'Blue Boy' King Lonely and Blue "
R and B
 คำว่า ริทึมแอนด์บลูส์ ถูกใช้ครั้งแรกในนิตยสารบิลบอร์ดโดย เจอรี่ เว็กซ์เลอร์ (Jerry Wexler) ในปี ค.ศ. 1947 แทนที่คำว่า Race Music ที่เคยถูกใช้มาก่อน
ในปี ค.ศ. 1948 บริษัท RCA Victor ได้เข้ามาทำการตลาดดนตรีคนผิวดำโดย ภายใต้ชื่อ Blues and Rhythm คำนี้ถูกกลับคำ โดยเว็กซ์เลอร์ ค่าย Atlantic Records ซึ่งเป็นผู้นำเพลงแนวอาร์แอนด์บีในยุคแรกๆ
ในปีช่วงยุค 1970 ริทึมแอนด์บลูส์ ได้ครอบคลุมนิยามกับแนว โซล (Soul) และ ฟังก์ (Funk) ในปัจจุบันนิยมเรียกอาร์แอนด์บี มากกว่าคำว่า ริทึมแอนด์บลูส์
ริทึมแอนด์บลูส์ มีที่มาก่อน ร็อก แอนด์ โรลล์ ได้รับอิทธิพลมาจากเพลงแนวแจ๊ส,จัมพ์บลูส์ และ แบล็กกอสเปล มีนักดนตรีแจ๊สหลายคนที่บันทึกเสียงทั้งเพลงแจ๊ส และ ริทึมแอนด์บลูส์ เช่นวงสวิงแบนด์ของ Jay McShann, Tiny Bradshaw และ Johnny Otis เป็นต้น และโดยส่วนมาก นักดนตรีในสตูดิโอที่ทำเพลงอาร์แอนด์บี จะเป็นนักดนตรีแจ๊ส
ในช่วงยุค 1950 ถือเป็นยุคคลาสสิกอาร์แอนด์บี มีการผสมแนวเพลงเข้าด้วยกันไม่ว่าจะเป็น แจ๊ส และ ร็อก แอนด์ โรลล์ เพลงแนวอาร์แอนด์บีถูกพัฒนาไปที่ต่างๆ เช่นในรัฐนิวออร์ลีนส์ มีการใช้เปียโนในเพลง ตัวอย่างเช่นศิลปินที่เป็นที่รู้จักอย่าง แฟท โดมิโน (Fats Domino) ในเพลงติดชาร์ท "Blueberry Hill" และเพลง "Ain't That a Shame" อีกที่ที่มีการพัฒนาของเพลงแนวอาร์แอนด์บีคือ ลุยเซียนา มีศิลปินเช่น Clarence "Frogman" Henry, Frankie Ford, Irma Thomas, The Neville Brothers และ Dr. John เป็นต้น
เพลง ร็อก แอนด์ โรลล์ ในรูปแบบของอาร์แอนด์บี ที่เป็นที่รู้จักเพลงแรกๆ เช่น "Rocket 88" และ "Shake, Rattle and Roll" ที่ขึ้นชาร์ททั้ง ป็อปชาร์ทและอาร์แอนด์บีชาร์ท
ช่วงต้นยุค 1960 เพลงแนวอาร์แอนด์บีมีแนวโน้มมีรูปแบบออกไปทางกอสเปลรวมถึงโซล มีศิลปินเช่น Ray Charles, Sam Cooke, และ James Brown และเริ่มมีศิลปินผิวขาวทำเพลงในแนวนี้ แต่จะเรียกว่า บลู-อายด์ โซล เช่น The Yardbirds, The Rolling Stones, The Pretty Things, The Small Faces, The Animals, The Spencer Davis Group และ The Who

ในช่วงกลางยุค 1970 คนผิวสีทำเพลงในแนวดิสโก้ ถือเป็นปรากฏการณ์ในสังคม เพลงแนวดิสโก้ได้รับความนิยมอย่างมาก พอช่วงยุค 80 เพลงดิสโก้ก็หายไป กลายเป็นเพลงช้าๆ ฟังสบายๆ ที่เรียกว่า quiet storm จนกระทั่งในปัจจุบันอาร์แอนด์บีได้เพิ่มแนวฮิปฮอป และ แร็ปอีก ซึ่งได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน

>>เพลงแนว R&B เพราะๆ<<

Blues


Blues  
เพลงบลูส์ (Blues) เป็นเพลงของคนผิวดำ ซึ่งในสมัยก่อนพวกทาสในอเมริกาใช้ร้องเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดและความทุกข์ยากในชีวิต สมัยนั้นในอเมริกาทุกคนต่างถือว่า ทาสเป็นเพียงสินค้าอย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่มีสิทธิใดๆ ทั้งสิ้นนอกจากทำงานหนักเพียงอย่างเดียว แม้แต่วัฒนธรรมของพวกทาสก็ยังถูกกำจัดให้หมดไปอย่างสิ้นเชิง เว้นแต่บางสิ่งบางอย่างเท่านั้นที่ยังคงเหลือเอาไว้เพื่อประโยชน์ต่อนายทาส พวกทาสต้องนับถือศาสนาคริสต์ จะนับถือศาสนาของตัวเองไม่ได้ ความป่าเถื่อนของเรือบรรทุกทาส การประมูลทาสเยี่ยงสัตว์ป่า การใช้แรงงานทาสอย่างทารุณ ล้วนเป็นการทำลายจิตใจของพวกทาสชาวอาฟริกันอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ความคับแค้นและความลำบากอย่างแสนสาหัสนี้ได้เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดเพลงบลูส์ขึ้น เสียงเพลงที่เปล่งออกมาสามารถบีบคั้นอารมณ์คนฟังได้ เพราะเนื้อหาของเพลงนั้นได้หยิบยกมาจากความเป็นอยู่และและชีวิตที่แสนลำเค็ญของพวกทาส สะท้อนถึงอารมณ์และถ่ายทอดเป็นบทเพลงได้เป็นอย่างดี

เพลงบลูส์มีต้นกำเนิดมาจากเพลงที่พวกทาสชอบร้องเวลาทำงานเป็นหมู่คณะเพื่อให้ทำงานได้รวดเร็วขึ้น และช่วยให้ผู้ที่ได้ฟังมีความรู้สึกแจ่มใสตามไปด้วย เช่น การร้องด้วยเสียงที่ดังลั่นที่มีทั้งเสียงทุ้มและต่ำอย่างไพเราะ หรือเสียงที่สูงจนแสบแก้วหู เมื่อคนอื่นร้องจบคนอื่นก็จะสอดรับขึ้นทันที ทีละคนสองคนและแล้วก็เพิ่มขึ้นจนเป็นเสียงลูกคู่ร้องรับกันไปในที่สุด การร้องเพลงแบบนี้เรียกว่า
ฮอลเลอร์‘ (Hollers – เสียงกู่ร้องที่ก้องกังวานอย่างโหยหวน) ซึ่งมักได้ยินเมื่อคนผิวดำทำงานเป็นหมู่คณะตามท้องไร่หรือที่อื่นๆ เป็นเพลงที่กลายเป็นแนวทางอย่างหนึ่งของเพลงบลูส์ เพลงฮอลเลอร์นี้ไม่สามารถที่จะอธิบายถึงลักษณะที่แน่นอนได้เพราะมีการต่อเติมให้แปลกแหวกแนวออกไปเรื่อยๆ ตามความคิดของนักร้องแต่ละคน แต่ลักษณะเด่นของเพลงฮอลเลอร์คือ ในเพลงจะมีระดับเสียงที่ลงต่ำแล้วกลับขึ้นสูงโดยเร็ว การขึ้นเสียงและผ่อนเสียงในระดับเช่นนี้เป็นเอกลักษณ์ของฮอลเลอร์ เพลงบลูส์นั้นได้รับเอาแบบฉบับของดนตรียุโรปเข้ามาผสมกับเพลงทำงาน และเสียงกู่ร้องในไร่ (Cornfield Holler) เป็นแบบฉบับดั้งเดิมที่ตกทอดมาตั้งแต่ครั้งปู่ย่าตายายของชาวอาฟริกันหลายชั่วอายุคนจนกลายเป็นแบบฉบับของเพลงบลูส์ขึ้นมา เพลงบลูส์มีรูปร่างที่แน่นอนขึ้นในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 คือเนื้อร้องบทละ 3 บรรทัด ร้อง 12 จังหวะตามแบบของนักร้องบัลลาด แม้ว่าเพลงบลูส์จะมีรูปแบบที่แน่นอนตายตัวอย่างไรก็ตาม แต่ยังมีลีลาการร้องแบบฮอลเลอร์ (การร้องแบบด้นสด) เข้าไปแทรกอยู่ด้วย ทำให้บลูส์มีลักษณะพิเศษของตัวเอง

เพลงบลูส์เป็นเพลงที่ร้องไปกับการเล่นดนตรี แสดงออกถึงอารมณ์ นักร้องเพลงบลูส์นั้นไม่ต้องเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในอารมณ์ของคนอื่น แต่จะร้องออกมาเป็นอารมณ์ของตัวเอง เมื่อความโศกเศร้าต่างๆ ได้ผ่านไปแล้วก็สามารถที่จะร้องเพื่อความเพลิดเพลินของตัวเองหรือเพื่อนพ้องได้ ลีลาและน้ำเสียงของบลูส์นั้นเต็มไปด้วยความล้ำลึกที่มาจากความปวดร้าวภายในที่แอบซ่อนอยู่ บอกกล่าวต่อผู้ฟังอย่างเศร้าสร้อยและโหยหวน ลักษณะเด่นอีกอย่างของดนตรีบลูส์คือ เป็นเพลงที่เกี่ยวข้องกับเรื่องส่วนตัวนักร้องอย่างแท้จริง นักร้องเพลงบลูส์จะสามารถร้องเพลงที่เกี่ยวกับตัวเองเสมอ

ชาร์ลี แพทตัน (
Charley Patton) ชาวมิสซิสซิปปี้เป็นนักดนตรีที่สำคัญของประวัติศาสตร์เพลงบลูส์คนหนึ่ง การร้องที่เต็มไปด้วยเสียงกระแทกกระทั้นอย่างรุนแรงและคำรามอย่างแข็งกร้าว นักดนตรีบลูส์หลายคนเป็นลูกศิษย์หรือได้รับอิทธิพลจากเขา

ไบลนด์ เลมอน เจ็ฟเฟอร์สัน (
Blind Lemon Jefferson) เขาเป็นชาวเท็กซัสเป็นนักร้องตาบอดที่น่าสงสารมาก เสียงของเขาแหบสูง เหมือนจะเชือดเฉือนกรีดลงไปในขั้วหัวใจของผู้ที่ได้ฟัง เขาเล่นกีตาร์ไปตามจังหวะและโน้ตเพื่อเน้นคำร้องไปด้วยกับการดีดกีตาร์อย่างแรงๆ และรวดเร็ว นักร้องเพลงบลูส์ที่ยิ่งใหญ่อีกคนคือ ไรเลย์ คิง (Riley king) เขาเกิดที่มลรัฐมิสซิสซิปปี้ เป็นผู้ที่ชอบสร้างสรรค์เพลงบลูส์รูปแบบใหม่อยู่เสมอ ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น บลูส์ บอย คิง‘ (Blues Boy King) แล้วในไม่ช้าคำว่า บลูส์บอยก็หดหายไป คงเหลือแต่ตัวย่อว่า บี.บี. จึงมีคนเรียกชื่อเขาแต่เพียงชื่อ บี.บี.คิง (B.B. KING) เท่านั้น

นักดนตรีบลูส์ที่สำคัญคนอื่นๆ เช่น จอห์น ลี ฮูเกอร์ (
John Lee Hooker) ชาวเท็กซัส ดนตรีของเขามีเอกลักษณ์ทั้งการร้องและการเล่นกีตาร์ เพลงบลูส์ของเขาเต็มไปด้วยความดื่มด่ำลึกซึ้ง
โบ ดิดด์เลย์ (
Bo Diddley) ชาวเมืองชิคาโก วงดนตรีของเขาจะเล่นดนตรีที่หนุ่มสาวชาวผิวดำกำลังคลั่งไคล้กันอย่างหนัก เป็นเพลงที่สนุกเร้าใจ


>>ตัวอย่างเพลง Blues เพราะๆ<<

"Bebop"


"Bebop"
เมื่อนักดนตรีแจ๊ซแนว Swing เบื่อหน่ายการจัดวงและการเรียบเรียงที่ค่อนข้างตายตัว จึงเกิดการหาแนวทางใหม่ เล่นตามความพอใจแบบที่มักทำหลังการซ้อมหรือเล่นดนตรี หรือเรียกว่า "แจม" (Jam session) Charlie "Bird" Parker นักแซ็กโซโฟน และ Dizzy Gillespie นักทรัมเป็ต เสนอแจ๊สในแนวทางใหม่ขึ้นมา เมื่อทั้งสองร่วมตั้งวงห้าชิ้นและออกอัลบั้มตามแนวทางดังกล่าว คำว่า Bebop หรือ Bop ก็กลายเป็นคำติดปากของผู้ฟัง มีสุ้มเสียง จังหวะ การสอดประสานที่ต่างไปจาก Swing เช่นจังหวะไม่ได้บังคับเป็น 4/4 เหมือนสวิง เน้นใช้คอร์ดแทน Alternate chords ในขณะที่โซโลและการแสดงด้นสดยังอยู่บนคอร์ดเดิม

ลีลาของแนว Bebop จะเน้นเป็นดนตรีตามคลับแจ๊สมากกว่าดนตรีเต้นรำ จุดเด่นคือการแสดงความเป็นตัวของตัวเองอย่างสูง ไม่นานนัก Bebop ก็เป็นที่นิยม Charlie Parker, Dizzy Gillespie, และ Thelonious Monk กลายเป็นดาวผู้เปิดแนวทางใหม่ในวงการแจ๊ส

Bebop ให้กำเนิดสองกระแสใหม่ กระแสแรกคือ Cool Jazz ซึ่งเป็นการผสมแจ๊สเข้ากับเพลงคลาสสิค อีกกระแสคือ Hard Bop ซึ่งผสมเอา Bebop, R&B และเพลงในโบสถ์ (Gospel) เข้าด้วยกัน

คูลแจ๊สมีต้นกำเนิดจากงานของ Miles Davis ซึ่งใช้วง 9 ชิ้น อัดอัลบั้ม The Birth of Cool นักดนตรีแจ๊สเรียกติดปากว่า "Cool" เป็นที่มาของคำ "Cool Jazz" ซึ่งไม่ได้เร็วสนุกสนานเหมือนดนตรีแจ๊สที่ผ่านมา กลับมีท่วงทำนองช้า บรรยากาศหม่นๆ อิทธิพลด้านคลาสสิคของคูลแจ๊สส่วนใหญ่จะมาจากงานของ Igor Stravinsky และ Claude Debussy ทำให้บางคนวิจารณ์ว่า Cool Bop ทำให้แจ๊สถอยหลัง

ขณะเดียวกัน ทางฝั่งตะวันตกก็มีเพลงแจ๊สที่เรียกกันว่า เวสต์โคสต์ (West Coast Sound) ซึ่งคล้ายคลึงกับคูลแจ๊ส แต่อนุรักษ์นิยมกว่า วงดนตรีเวสต์โคสต์มักไม่มีเปียโนมารวมด้วย ผู้นำของกลุ่มนี้ได้แก่ Chet Baker, Jerry Mulligan, Stan Getz
แจ๊ส ฟิวชั้น
หลังจากช่วงทศวรรษ 1960 ซึ่งเป็นยุคที่เพลงร็อก (ร็อกแอนด์โรล) มีอิทธิพลต่อวงการเพลง หลังกำเนิดฟรีแจ๊ส ในช่วงต้นทศวรรษ 1970 ได้เกิดดนตรีแจ๊สอีกแนวที่เรียกว่า ฟิวชัน (Fusion) ซึ่งบ่งชี้ถึงการนำดนตรีสองแนวหรือมากกว่ามาหลอมรวมกัน ซึ่งในช่วงนั้นคือการรวมกันของดนตรีแจ๊สเข้ากับร็อกเป็นหลัก โดยการใช้รูปแบบจังหวะ และสีสันของเพลงร็อก เครื่องดนตรีในวงฟิวชั่นมักประกอบด้วยเครื่องดนตรีสองประเภททั้ง เครื่องดนตรีดั้งเดิม และเครื่องดนตรีไฟฟ้า หรืออีเลคโทรนิค มีกลุ่มเครื่องประกอบจังหวะที่ใหญ่กว่าแจ๊สยุคก่อนๆ และมักมีเครื่องดนตรีต่างชาติอื่นเช่น เครื่องดนตรีจากแอฟริกา ลาตินอเมริกา หรืออินเดีย และอีกสองลักษณะเด่นของฟิวชั่นแจ๊สคือ แนวทำนองของอีเลคโทรนิคเบสและการซ้ำทวนของจังหวะ

ไมล์ส เดวิส นักปฏิวัติดนตรีแจ๊ส ก็ได้หยิบเอาโครงสร้างของร็อกมารวมกับแจ๊ส ทดลองใช้เครื่องดนตรีไฟฟ้า เครื่องดนตรีประเภทสังเคราะห์เสียง โดยเริ่มจากอัลบั้ม In A Silent Way ก่อนจะมาเป็นอัลบั้ม Bitches Brew ซึ่งเป็นต้นแบบของแนวฟิวชันในเวลาต่อมา

>>ตัวอย่างเพลง Bebop เพราะๆ<<



Jazz


Jazz
ประวัติย่อดนตรีแจ๊ซ
"New Orleanes Jazz"
ดนตรีแจ๊สกำเนิดขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงทศวรรษ 1920 โดยวงดนดรี The Original Dixieland Jazz Band หรือ ODJB มีลีลาดนตรีและจังหวะเต้นรำที่แปลกใหม่ ได้รับความนิยมอย่างมากจนทำให้คำว่า "Jazz" ในชื่อวงดนตรีกลายมาเป็นชื่อแนวเพลงแบบนี้ แนวเพลงของ ODJB นั้นมาจากการผสมผสานกันระหว่างเพลงพื้นบ้านในแถบนิวออร์ลีนส์ ซึ่งมีรากฐานจากดนตรีในพิธีทางศาสนาของกลุ่มทาสที่เดินทางมาจากแอฟริกาเพื่อเป็นแรงงานตามไร่นา กลุ่มทาสเหล่านี้มีพื้นฐานในเรื่องจังหวะมาจากเพลงพื้นบ้านหรือดนตรีอยู่แล้ว นำมาซึมซับดนตรีของคนผิวขาวที่เรียนรู้จากการฟังแล้วเล่นลองถูกลองผิดตามความพอใจ กลายเป็นที่มาของการด้นสด (Improvisation) แจ๊สในยุคแรกดั้งเดิมนี้เรียกกันว่าเป็น นิวออร์ลีนส์แจ๊ส

"Swing & Big Band"
เมื่อสหรัฐฯร่วมสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง รัฐสั่งปิดสถานเริงรมณ์ในนิวออร์ลีนส์ ทำให้นักดนตรีส่วนใหญ่ย้ายมาหากินในชิคาโก นิวยอร์ก และ ลอสแองเจลลิส ทั้งสามเมืองจึงกลายเป็นแหล่งนักดนตรีแจ๊สในช่วงนั้น ชิคาโกเป็นเมืองที่ทำให้ Louis Armstrong กลายเป็นนักดนตรีและนักร้องแจ๊สชื่อดังในเวลาต่อมา ชิคาโกมีดนตรีแจ๊สที่มีลักษณะเฉพาะตัว ฉูดฉาด มีการทดลองจัดวงแบบของใหม่ๆ เช่น แซ็กโซโฟนมาใช้รวมกับ คอร์เน็ต ทรัมเป็ต มีการทดลองแนวดนตรีใหม่ๆ เช่น การเล่นเปียโนแบบสไตรด์ (Stride piano) ของ James P. Johnson ซึ่งมีพื้นฐานจากแร็กไทม์ การทดลองลากโน้ตยาวจนคนฟังเดาไม่ออกของ Louis Armstrong และการปรับแบบของจังหวะเป็น Chicago Shuffle

ต่อมาปลายทศวรรษ 1920 นิวยอร์กรับหน้าที่เป็นศูนย์กลางของแจ๊สแทนชิคาโก ปรับแจ๊ซไปเป็นดนตรีเต้นรำให้ความสนุกสนานบันเทิง และเป็นบ่อเกิดของ สวิง (Swing) และ บิ๊กแบนด์ (Big Band) ในเวลาต่อมา "สวิง" หมายถึงอิสระในการแสดงดนตรี มาจากจังหวะที่ฟังแล้วคล้ายไม่ลงตัว หรือ "แกว่ง" นั่นเอง แล้วจึงมีการจัดวงแบบใหม่ที่เรียกว่า "บิ๊กแบนด์" เป็นวงใหญ่นักดนตรีมาก แบ่งวงเป็นสามส่วนคือ เครื่องทองเหลือง เครื่องลมไม้ และเครื่องให้จังหวะ ในยุคนี้ก็คือเริ่มมีนักร้องแจ๊สที่โด่งดังขึ้นมา เช่น Ella Fitzgerald, Billy Holiday และ Louis Armstrong ความสามารถที่โดดเด่นของนักร้องแจ๊สยุคนี้คือการ "สแกต" (Scat) หรือร้องเสียงแปลกๆแทนเครื่องดนตรี

"ราชาแห่งสวิง" คือ Benny Goodman นักคลาริเน็ตผู้ซึ่งในหลวงของเราเคยทรงดนตรีร่วมวงด้วยเมื่อครั้งเสด็จไปเยือนสหรัฐฯ Benny Goodman ก่อตั้งวงบิ๊กแบนด์ที่ต่างจากวงอื่นๆในยุคนั้นตรงที่มีนักดนตรีทั้งผิวขาวและผิวดำปะปนกัน และเปิดโอกาสให้นักดนตรีคนอื่นในวงได้เล่นโซโลแสดงความสามารถเต็มที่ จึงเป็นที่ชื่นชอบของผู้ฟัง นอกจากวงของกู๊ดแมนแล้ว ยังมีวงของ Duke Ellington และวงของ William Count Basie ที่โด่งดังใกล้เคียงกัน



>>ตัวอย่างเพลง Jazz เพราะๆ<<




สามยุคสำคัญของประวัติศาสตร์ดนตรีตะวันตก (ตอนที่ 3) - Romantic

สามยุคสำคัญของประวัติศาสตร์ดนตรีตะวันตก (ตอนที่ 3) - Romantic
เมื่อ Beethoven คุณลุงคนสำคัญที่ทำอะไรนอกกรอบจนทำให้เกิดรูปแบบการแต่งเพลงใหม่ๆ มามากมาย จนกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ บทความครั้งนี้ของเราจึงเป็นการจบเนื้อเรื่องสามยุคสำคัญใน Common Practice Period เพราะเราเดินทางมาถึงยุคสุดท้ายที่จะกล่าวถึงแล้วค่ะ นั่นก็คือยุค Romantic ที่หลายๆ คนรอคอย (จะมีไหมนะ)
ยุคทางดนตรีนั้นมักจะเชื่อมโยงกับโลกทางศิลปะด้านอื่นๆ เสมอ
ยุคทางดนตรีนั่นมักจะเชื่อมโยงกับโลกทางศิลปะด้านอื่นๆ เสมอ
จะว่าอย่างงั้นก็ได้นะคะ เมื่อครั้งที่ฉันเรียนสังคมศาสตร์สมัยมัธยม อาจารย์ประจำวิชาท่านนึงที่ฉันจำไม่ได้แล้วว่าหน้าตาของเธอเป็นอย่างไร ฉันจำได้แต่เสียงของเธอค่ะ เธอเอ่ยว่าหากต้องการรู้เรื่องอะไรในประวัติศาสตร์ ง่ายนิดเดียวคือดูจากศิลปะ ศิลปะสื่ออะไรออกมาก็เท่ากับว่าสังคมสมัยนั้นมีแนวคิดแบบนั้นเกิดขึ้นแค่นั้นเลยจริงๆ
ในยุคโรแมนติกดนตรีก็ดี ศิลปะก็ดี มีการสื่อความหมายทางอารมณ์หลากหลายกว่า ภาพนิ่งๆ เน้นกล้ามเนื้อความสวยงามในยุคก่อนหน้า ฉันขอยกตัวอย่างรูปภาพในยุคก่อนหน้ายุค Romantic เทียบกับรูปที่อยู่ในยุคนะคะ ภาพแรก (Creation of Adam) ที่จะนำเสนอคือภาพในยุคเรเนสซองส์ของไมเคิลเองเจลโล่ เป็นตอนที่พระเจ้าสร้างอดัมขึ้น ขณะกำลังแตะมือกัน ทั้งพระเจ้าทั้งอดัม ไม่แสดงสีหน้าอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น สัดส่วนของพระเจ้าก็ดี อดัมก็ดี ทวยเทพก็ดี กล้ามเนื้อเน้นๆ ปรัชญาสังคมที่ใกล้ชิดพระเจ้า ความสมบูรณ์แบบ การอยู่ในกรอบในหลักเกณฑ์ พบได้ในสังคมยุคเรเนสซองส์ค่ะ แต่ว่าอีกภาพ (Liberty Leading the People) ที่อยากจะเทียบ งานของเดอลาครัวซ์จากยุคโรแมนติก ภาพนี้สื่อถึงสงครามในการปฏิวัติฝรั่งเศส สีหน้าของแต่ละคนในรูปมีการแสดงออกอารมณ์ มีเรื่องของสงครามการสูญเสียเข้ามาเกี่ยวข้อง ความไม่สวยงามปรากฏในรูปอย่างเด่นชัด ปรัชญาสังคมเรื่องความสมบูรณ์แบบจบสิ้นลงแล้ว การแสดงออกถึงชาติกำเนิด ตัวตน อารมณ์โกรธ เศร้า ไม่ใช่เรื่องน่าอายที่ต้องปิดบัง นี่คือแก่นของยุค Romantic โดยแท้
ดนตรีกับศิลปะมันไปด้วยกัน ... เพราะฉะนั้นการอยู่ในกรอบ การค้นหาความสมบูรณ์แบบ ของเพลงในยุคเก่าๆ จึงถูกสลัดทิ้ง ในยุคโรแมนติก นักประพันธ์เพลงพยายามดิ้นรนตัวเองให้ออกนอกกรอบเพื่อแสดงตัวตนได้ชัดเจนยิ่งขึ้น การแสดงออกถึงอารมณ์เป็นจุดเด่นของยุคที่กำลังจะกล่าวถึง
ลักษณะของเพลงในยุค Romantic
ยุค Romantic กินเวลาตั้งแต่ ค.ศ. 1815-1910 โดยประมาณ ยุค Romantic เป็นยุคที่ตามหลังยุค Classic อย่างที่เคยเอ่ยไป และสิ้นสุดลงในช่วงเวลาที่มีเพลงของยุคศต. 20 ขึ้นไปเข้ามาแทนที่ (ซึ่งจะถูกรวมเรียกว่ายุค modern and contemporary) อย่างที่เคยกล่าวเมื่อครั้งที่แล้วว่าจุดเปลี่ยนของ Romantic คือ Beethoven และการคิดนอกกรอบของเขา เพลงต่อๆ มา และนักประพันธ์คนอื่นๆ ของยุค Romantic จึงพยายามหลุดกรอบออกมาให้ได้เช่นกัน ส่งผลให้รูปแบบของการประพันธ์ขยายออก จากเพลงที่ฟังแล้วเดิมๆ ไม่ว่าฟังกี่เพลงๆ ก็เหมือนกันไปเสียหมด แต่พอมาเป็นยุค Romantic เรากลับพบความหลากหลายของเพลงมากขึ้น รูปแบบที่ไม่มีแน่นอนตายตัว คาดเดาได้ยากถือกำเนิดขึ้นในยุคนี้ ที่เด่นๆ คือ การเน้นธีมเมโลดี้ของเพลงมากขึ้น นักประพันธ์ไม่ใช่แค่แต่งเพลงตามรูปแบบที่กำหนดเหมือนยุค Classic ที่ตายตัวว่าตรงไหนต้องเร็วต้องช้า คีย์เพลงที่ใช้ต้องคีย์ไหนเปลี่ยนเป็นคีย์ไหน ในยุคโรแมนติก เน้นเรื่องของการส่งต่ออารมณ์จากเพลงท่อนนึง มูฟเม้นท์นึง สู่อีกมูฟเม้นท์นึงอย่างมาก ความเร็วความช้าของมูฟเม้นท์สามารถเปลี่ยนไปตามอารมณ์ของผู้ประพันธ์มากกว่าการทำตามกฎเกณฑ์ คีย์เพลงที่ใช้เองก็ตามแต่อารมณ์เช่นกัน
แรงบันดาลใจของเพลง ไม่ได้มาจากเมโลดี้ลอยๆ ในหัวสมองนักประพันธ์เพียงอย่างเดียว เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวนักประพันธ์ ภาพเขียน บทกวี ส่งผลต่อเพลง และเป็นแรงบันดาลใจได้หมด ไม่ใช่แค่ภาพ งานเขียน เรื่องราวในชีวิตที่ส่งผลต่อการประพันธ์เพลงนะคะ เพราะกลับกัน มีภาพเขียนหลายภาพ บทกวีหลายบท งานเขียนหลายงาน ที่ได้แรงบันดาลใจจากเพลงในยุคนี้เช่นเดียวกัน งานศิลป์เริ่มทำงานกันเป็นทีมมากขึ้น นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของศิลปะผสมผสานจนมาถึงยุคนี้นะคะ ตัวอย่างที่เห็นๆ ก็อย่างเช่น บทประพันธ์ชื่อเรื่อง Manfred ของ Lord Byron เนื้อเรื่องเกี่ยวกับชายหนุ่มนาม Manfred ผู้ซึ่งทุกทรมานกับความรู้สึกผิดหลังจากคนรักตาย Manfred ขายวิญญาณให้ปีศาจเขาร่ายมนต์ดำเพื่อเจอเธออีกครั้งและเพื่อได้รับการอภัยโทษที่รักเธอผู้ซึ่งมีความสัมพันธ์ทางเครือญาติอันมิอาจเป็นไปได้ บทประพันธ์ Manfred ถูกใจ Schumann และเกิดเพลงที่ชื่อ Manfred: Dramatic Poem with Music in Three Parts ขึ้น และก็ยังถูกใจ Tchaikovsky จนเกิด Manfred's Symphony ด้วยในที่สุด (นอกจากนี้ยังมีภาพเขียนอีกหลายภาพที่วาดขึ้นเพราะบทประพันธ์เรื่องนี้เป็นแรงบันดาลใจ)
ต่อไปนี้คือบทเพลง Manfred's Symphony ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรื่อง Manfred นะครับ

แนวเพลงของยุค Romantic นั้นแสดงความเป็นตัวตน และขยายแนวเพลงออกไปไกลขึ้น ส่งผลให้มีเรื่องของการประพันธ์เพลงที่ผสมผสานท่วงทำนองเพลงพื้นเมืองเข้ามา ประกอบกับสังคมสมัยนั้นที่เริ่มมีการล่าอาณานิคม สงคราม การแย่งชิงพื้นที่ ความภูมิใจเกี่ยวกับชาติบ้านเมืองแสดงออกมาในศิลปะและเพลง เพลงที่ได้รับอิทธิพลมาจากเพลงพื้นเมืองอย่างเช่น Polonaise และ Mazurka ซึ่งเป็นแนวเพลงที่ได้รับอิทธิพลโดยตรงจากเพลงพื้นเมืองของโปแลนด์ นี่เป็นเหตุที่ว่าทำไมนักเปียโนชาวโปแลนด์อย่าง Chopin จึงชอบแต่งเพลงสองประเภทนี้มากกว่าใครๆ
สิ่งเหล่านี้ที่กล่าวไป เป็นจุดเด่นๆ ของยุคโรแมนติกครับ เพลงที่สื่ออารมณ์ความรู้สึก ไม่ว่าจะ รัก โกรธ เกลียด ดีใจ เสียใจ ฟังเพลงแล้วเห็นภาพโน้นภาพนี้ มีเอกลักษณ์เฉพาะเพลง นี่คือโรแมนติก สิ่งที่ทำให้โรแมนติกสามารถแสดงความเป็นโรแมนติกได้ หนึ่งในนั้นก็ต้องขอบอกว่าเป็นเรื่องของนวัตกรรมนะคะ ยุค Romantic เปียโนได้รับการพัฒนาสูงค่ะ ทำให้สามารถเล่นเทคนิคที่ส่งผ่านอารมณ์ได้ดี นอกจากนี้วงออเครสต้าในยุคนั้นก็ถูกเพิ่มเครื่องดนตรีมากชิ้นมีผู้เล่นเป็นร้อยๆ คนต่อหนึ่งวง มีการนำอุปกรณ์บางอย่างที่ไม่ใช่เครื่องดนตรี มาเคาะ มาตี ให้เกิดเสียงที่แปลกออกไป ความแน่นของเพลง ความวิจิตรพิสดารเกิดขึ้นเพื่อส่งต่ออารมณ์นั้นๆ ให้ผู้ฟังได้เห็นภาพยิ่งขึ้น เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าทำไมยุคนี้ถึงได้ชื่อว่า Romantic และทั้งนี้ทั้งนั้น ยุคนี้ได้ส่งต่อวิธีคิดที่เปลี่ยนไปจนศิลปะมีแนวคิดทางปรัชญาที่ซับซ้อนมากขึ้นถึงทุกวันนี้ครับ
ต่อไปก็มาถึงเรื่องราวของนักประพันธ์ และเพลงเด่นๆ ที่อยากจะแนะนำเล็กๆ น้อยๆ นะคะ
นักประพันธ์ และเพลงเด่นๆ ที่อยากจะแนะนำ
คนแรกที่น่าจะกล่าวถึงเป็นอย่างยิ่งคือ Frederic Chopin นักเปียโนและนักประพันธ์เพลงชาวโปแลนด์ค่ะ Chopin ประพันธ์เพลงเปียโนไว้มากมายเหลือพรรณนา และยังทั้งประพันธ์แบบฝึกหัดขั้นสูงสำหรับการเล่นเปียโนหลากหลายสไตล์ด้วย เพลงของโชแปงมีทั้งความหวาน ความเศร้า ความรัก ปะปนกันไปมากบ้างน้อยบ้าง เขาเป็นหนุ่มเจ้าชู้ที่อาภัพรักแท้คนนึง ส่งผลให้บทเพลงของเขาหวานลึกถูกอกถูกใจใครต่อใครหลายคน เพลงที่ฮิตๆ ก็คงจะเป็นเพลงวอล์ซที่มีชื่อเล่นว่า Minute Waltz และเพลงที่ดังๆ อีกเพลงก็เห็นจะเป็นเพลงหวานๆ อย่าง Etude Op10 No3 ซึ่งโชแปงประพันธ์ไว้เป็นบทเรียนสำหรับฝึกเทคนิคทางเปียโนโดยเฉพาะ
ต่อมาที่อยากจะแนะนำ เขาคือ Johannes Brahms นักประพันธ์ชาวเยอรมัน ในยุคที่เขาเติบโตขึ้น แนวเพลงของเขาไม่น่าจะเป็นที่นิยมเอาเสียเลย เขาไม่ถูกกับนักประพันธ์ดังๆ ในยุคนั้นหลายๆ คน ถึงกระนั้นเขาก็ยังยืนหยัดที่จะทำสิ่งที่ตนชอบ Symphony แต่ละเบอร์ของเขาใช้เวลาในการประพันธ์นานๆ ทั้งนั้น ทำให้เขาเป็นอีกหนึ่งนักประพันธ์ที่แต่ง Symphony น้อยมากแต่ได้งานออกมาคุณภาพ จนมีคนเทียบเขาเป็น Beethoven เบอร์สองทีเดียว ผลงานที่ดังมากของเขา ใครๆ รู้จักก็เห็นจะเป็น Hungarian Dance No.1 in G Minor ที่ใครฟังก็คงต้องร้องอ๋อ
ยุคโรแมนติกปลายๆ คนที่ดังๆ หนีไม่พ้น นักประพันธ์ชาวรัสเซียอย่าง Pyotr Ilych Tchaikovsky เพลงดังๆ ของเขาเป็นเพลงที่ประพันธ์เพื่อประกอบการแสดงบัลเล่ต์อย่าง Swan Lake, The Sleeping Beauty, และ Nutcracker เพลงหลายเพลงของเขาถูกใช้ในฉากต่างๆ ของภาพยนตร์ หนัง ละคร หลายเรื่องในปัจจุบันค่ะ Tchaikovsky เป็นอีกคนที่มีหัวคิดล้ำ (ไปหน่อย) แรกเริ่มเขาประพันธ์เพลงที่ต้องใช้ปืนมายิงประกอบเพลงของเขาในวงออเครสต้า เปิดแสดงครั้งแรกคนก็หนีหมดเพราะเสียงโป้งป้างฟังไม่ได้ศัพท์ อย่างไรก็ดีแนวใหม่ๆ หลายอย่างของเขาได้รับการยอมรับและดังจนถึงทุกวันนี้นะครับ
ยุคโรแมนติกหลังๆ จนอาจจะเรียกได้ว่าเป็นช่วงยุค 20th Century แล้วก็ได้นะคะ นักประพันธ์และนักเปียโนชาวรัสเซียท่านนึง Sergei Rachmaninoff ก็ถือกำเนิดขึ้น เขาได้รับอิทธิพลนักประพันธ์ชาวรัสเซียคนก่อนหน้าอย่าง Tchaikovsky ค่ะ เขาเหมือนเป็นตัวแทนเพลงยุคโรแมนติกตอนปลายของรัสเซียเลยก็ว่าได้ แต่ก่อนที่เขาจะประสบความสำเร็จชีวิตของเขาค่อนข้างทุลักทุเล เขาเครียดจัดหลังจาก Symphony เบอร์แรกของเขาพลาดท่า ทั้งที่เขาอุตส่าห์ทุ่มเทชีวิตกับมัน เขาไปรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวทย์อยู่นานพอดู ยังดีที่มีคุณหมออย่าง Nikolai Dahl คอยช่วยเหลือ เมื่อ Rachmaninoff ได้รับการบำบัดจนสภาพจิตฟื้นฟู ก็ได้เวลาแต่งเพลงต่อ เขาแต่งเพลงอย่าง Piano Concerto No.2 มอบเป็นของขวัญอันลำค่าแก่คุณหมอ Nikolai Dahl เพลงนี้ถือเป็นเพลงแห่งความสำเร็จของเขาได้เลยทีเดียวครับ
ความจริงนักประพันธ์เด่นๆ ในยุคโรแมนติกค่อนข้างเยอะมากนะครับ เพราะอย่างที่เอ่ยว่าเพลงในยุคนี้แสดงถึงความเป็นตัวตนที่มากขึ้น เมื่อเทียบกับเพลงในยุคก่อนหน้า เลยทำให้ใครๆ ก็มีแนวเด่นๆ ของตนเองเพิ่มขึ้นมา ที่ยกตัวอย่างนี้เป็นเพียงศิลปินจำนวนนึงจากศิลปินเด่นๆ นะคะ ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่http://en.wikipedia.org/wiki/List_of_Romantic_composers ดูแล้วกันนะครับ เพื่อจะเจอชายหนุ่มนักประพันธ์เพลงที่ถูกใจ

สามยุคสำคัญของประวัติศาสตร์ดนตรีตะวันตก (ตอนที่ 2) - Classic

สามยุคสำคัญของประวัติศาสตร์ดนตรีตะวันตก (ตอนที่ 2) - Classic
คราวที่แล้วเรากล่าวถึงยุค Baroque กันไปเป็นที่เรียบร้อยนะคะ ย้อนความเสียหน่อยกันลืมแบบสรุปรวมคือในยุค Baroque ใช้สไตล์ประสานที่เรียกว่า Polyphony และหลังๆ เริ่มมีการใช้สไตล์แบบ Homophony อย่างที่ได้อธิบายไปนะคะ นอกจากนี้ที่เด่นๆ คือความสลับซับซ้อนของแนวประสานที่มาถูกสอดรวมกัน หากว่าเราได้ลองฟังจะรู้สึกว่าแนวประสานหลายแนวมารวมกันได้มันช่างน่าอัศจรรย์ใจยิ่ง
และ Baroque เป็นก็เช่นนั้น คือยังคงมีความซับซ้อนในตัวเพลงอยู่ไม่น้อย
ว่าแต่หมดเรื่อง Baroque ไปแล้ว ... หลังจากนี้เราจะพูดถึงยุคอะไรกันนะ??? ติ๊กต่อกๆๆ ... ยุคต่อมาที่เราจะกล่าวถึงคือยุค Classic นั่นเอง ยุค Classic มาหลัง Baroque ครับ
แต่ก่อนที่จะพูดถึงยุค Classic ทางดนตรี ฉันอยากจะสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับคำว่า Classic กันเสียหน่อย เพราะเป็นคำที่ค่อนข้างใหญ่ และคนก็ใช้ผิดกันอยากสับสนในบางที มีคำสามคำที่ควรจะแยกแยะออกจากกันให้ได้ก่อนนั่นก็คือคำว่า เพลงคลาสสิค, ยุคคลาสสิค และสุดท้ายคือเพลงในยุคคลาสสิค
"เพลงคลาสสิค", "ยุคคลาสสิค" และ "เพลงในยุคคลาสสิค"
ถ้ามีคนนึงบอกกับคุณว่า "ชอบฟังเพลงคลาสสิค" คุณจะนึกถึงเพลงอะไรกันบ้าง??? นึกภาพยังไง ได้ยินเสียงอะไรในหัว??? และตกลงเพลงที่คนผู้นั้นชอบเป็นอย่างไรกันแน่ ฉันเคยได้ยินหลายคนกล่าวว่าเพลงคลาสสิคก็คือเพลงบรรเลง ไม่มีเนื้อร้อง อะไรทำนองนี้ มันใช่อย่างงั้นจริงๆ หรือเปล่านะ... ซึ่งคำตอบ คือมันก็ไม่ใช้เสียทีเดียวแต่ก็มีส่วนถูกอยู่บ้าง
"เพลงคลาสสิค" จริงๆ ให้อธิบายก็คงจะยาก ถามคำจำกัดความค่อนข้างเอาแน่เอานอนไม่ได้ คำว่าเพลงคลาสสิคมักถูกเรียกให้หมายถึงเพลงเก่าๆ ตามประวัติศาสตร์ตะวันตกที่แต่งอย่างมีแบบแผนและตามค่านิยมในเวลานั้น เพลงคลาสสิคเลยอาจจะหมายรวมถึงเพลงตั้งแต่ยุคกลางที่อาณาจักรโรมันล่มสลาย เก่าสมัย ค.ศ. 500 กว่าๆ จนมาถึงปัจจุบัน (และถ้าถามว่างั้นปัจจุบันมันจะเป็นเพลงเก่ายังไง คงต้องบอกว่าเพลงปัจจุบันอีกไม่นานก็จะเป็นอดีตของเพลงในอนาคตไป) เพลงคลาสสิคไม่ได้หมายถึงเพลงที่บรรเลงอย่างเดียว เพลงร้องโอเปร่า ร้องประสานเสียง นี้ก็มีเสียงร้องค่ะ เพลงคลาสสิคก็เลยครอบคลุมเพลงหลายแนวหลายยุคเป็นวงกว้างอยู่เหมือนกัน อีกความหมายที่อยากจะเสริม "เพลงคลาสสิค" คือ เพลงที่มีคุณค่าและยังคงอยู่ได้ ไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไป ในบริบทแบบนี้อาจจะไม่ได้ถูกใช้ว่าจำต้องเป็นเพลงที่มาจากประวัติศาสตร์ตะวันตก เพลงป๋าเบิร์ด ธงไชย ก็คลาสสิคได้พอๆ กับเพลงของบีโธเฟ่น หากกาลเวลาเริ่มร่วงเลยไปและยังมีผู้คนนิยมอยู่ มันยังไม่ตายหรือหายไปไหน นี่แปลว่าความคลาสสิคนั้นต้องใช้ค่านิยมบวกความทรงจำเป็นตัวตัดสินเสียมากกว่าคำนิยามว่าอะไรควรจะถูกเรียกว่าคลาสสิค
ต่อมาก็คำว่า "ยุคคลาสสิค" ... เนื่องจากอะไรที่มันคลาสสิคเราจะรู้สึกว่ามันเก่าแต่เก๋า แต่พอเติมคำว่า "ยุค" คลาสสิค มันกลับให้ความรู้สึกเก่าอย่างเดียว ไม่เก๋าเลยสักนิด "ยุคคลาสสิค" ใช้เรียกยุคโบราณสมัยกรีกโรมัน ยุคที่เขานับถือเทพเจ้าและมีเรื่องราวเทพเจ้าต่างๆ ที่สนุกอย่างกับนิทานก่อนนอน นึกภาพยุคคลาสสิคอาจจะนึกไปถึงจูเลียส ซีซ่าร์, ม้าไม้กรุงโรม, รูปปั้นเทพเจ้าโป๊ๆ มีแค่ใบไม้ปิด, แท่งเสาแบบกรีก ฯลฯ ยุคคลาสสิคนั้นจะพูดถึงยุคโบราณ เป็นยุคที่เก่าแก่กว่าจะมี "เพลงในยุคคลาสสิค" ครับ
อ้าว ... "เพลงยุคคลาสสิค" ไม่ได้อยู่ใน "ยุคคลาสสิค" หรอกรึ
คำว่า "ยุคคลาสสิค" อย่างที่กล่าวไปว่ามักจะใช้พูดถึงยุคที่กรีกโรมันรุ่งเรืองค่ะ หลังจากกรีกโรมันล่มสลาย แต่ความเป็นกรีกความเป็นโรมัน กลิ่นอายของมันยังได้รับสืบต่อกันอย่างจางๆ แม้ยุคคลาสสิคจะผ่านพ้นแต่ผู้คนก็ยังคงรักมันและก่อกำเนิดยุคที่เรียกว่า "นีโอคลาสสิค" ขึ้น หรือยุคคลาสสิคใหม่นั่นเอง เจ้ายุคนีโอคลาสสิคนี้เป็นการเรียกยุคทางศิลปะที่พยายามจะเลียนๆ ลอกๆ ความเก่าความคลังของยุคคลาสสิคดั่งเดิม ยุคนีโอคลาสสิคทางศิลปะนั้นจะกินเวลาคาบเกี่ยวกับ ยุคบาโรคทางดนตรี ไปจนถึงยุคคลาสสิคทางดนตรี
เพราะฉะนั้นคำว่า "เพลงยุคคลาสสิค" จึงไม่ใช่เพลงที่อยู่ในยุคคลาสสิคที่กรีกโรมันกำลังรุ่งเรื่อง แต่หมายถึงเพลงในยุคนีโอคลาสสิคทางศิลปะครับ
ต่อไปเราจะมาดูลักษณะดนตรีในยุค Classic กันนะคะ!!!
เกริ่นมาซ่ะนานแสนนานเพิ่งจะเข้าเรื่องหลัก... เพลงยุค Classic นั้นต่อจากยุค Baroque ค่ะ ช่วงเวลาของมันคือประมาณปี ค.ศ. 1730-1820 อาจจะคาบเกี่ยวกับยุคบาโรคนิดหน่อย ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะในปลายยุคบาโรคเริ่มใช้แนวการประสานแบบ Homophony ซึ่งเจ้า Homophony นี่แหละที่เป็นเหมือนจุดเปลี่ยนให้เข้าสู่ยุค Classic เหมือนกันนะ ในยุคคลาสสิคการแต่งเพลงประเภท Polyphony จะถูกมองข้ามไปอย่างสิ้นเชิง Homophony เข้ามามีบทบาทมากๆ Homophony ในแนวของยุคคลาสสิคคือสไตล์เน้นเสียงเมโลดี้ประกอบกับเสียงคอร์ด(หรือเสียงประสาน)เป็นพื้นหลัง
ความแตกต่างระหว่าง Baroque กับ Classic คือ เพลงในยุค Classic จะมีการเล่นที่ได้ยินประโยคเพลงชัดเจน และด้วยเสียงเมโลดี้ที่เด่นขึ้น พร้อมทั้งตัดความซับซ้อนสับสนอย่าง Baroque ที่ถูกแต่งขึ้นด้วยเทคนิค Counterpoint กลับกลายเป็นการแต่งเพลงโดยอิงเรื่องของการเดินคอร์ดเข้ามา ทำให้ฟังง่ายและติดหูผู้คนมาก เครื่องดนตรีในยุค Classic ก็ได้รับการพัฒนามากค่ะ มีเครื่องดนตรีหลายๆ อย่างเกิดขึ้นและแทนที่เครื่องดนตรีอื่นๆ ที่เคยนิยมในสมัยบาโรค เช่น เครื่องสายอย่างไวโอลินสามารถเล่นได้อย่างนุ่มนวลมากขึ้นเมื่อเทียบกับไวโอลินในสมัย Baroque เพลงที่แต่งออกมาให้กับไวโอลินในยุคคลาสสิคจะไม่ฟังแข็งกระด้าง บาดเฉี่ยว แต่จะสดใส อ่อนนุ่มได้มากขึ้น หรืออย่างฮาร์พซิคอร์ดที่เคยนิยมก็ไม่เป็นที่นิยมอีกต่อไปในยุค Classic หากต้องการเล่นโซโล่ล่ะก็ เปียโนเท่านั้นที่ตอบสนองความต้องการได้ ยุคคลาสสิคมีความหลากหลายของเพลงมากขึ้น มีการเล่นดังขึ้น เบาลง การเน้นโน้ต หรือเน้นประโยคเพลง การทำไดนามิกที่เพิ่มความติดหูให้กับผู้ฟังต่างออกไปจากการเล่นเนิบๆ อย่างยุค Baroque ที่เคยกระทำ
Alberti Bass
ในยุคคลาสสิคช่วงต้นๆ ไปจนกลางๆ มักนิยมรูปแบบแพทเทิร์นคอร์ดที่เรียกว่า Alberti เป็นรูปแบบการแตกคอร์ดง่ายๆ สลับโน้ตกันให้ฟังดูเบาๆ เช่นคอร์ด C Major ก็จะถูกเล่นเป็น โด ซอล มี ซอล โด ซอล มี ซอล ต่อกันไป (ตามรูปจะเห็นตัวโน้ตในกุญแจฟาเรียง โด ซอล มี ซอล นั่นล่ะ Alberti) Alberti bass หรือการเดินคอร์ดแบบ Alberti ชื่อ Alberti นั้นมาจากนายคนนึงนาม Domenico Alberti เขาไม่ใช้คนคิดค้นหรือคนที่ใช้รูปแบบ Alberti bass เป็นคนแรกหรอกค่ะ เพียงแค่เขาเป็นคนแรกๆ ที่ใช้มันบ่อยมากจนคนเลยเรียกว่า Alberti bass ไปซ่ะอย่างงั้น สำหรับใครยังนึกภาพเสียงของ Alberti bass ไม่ออกก็แนะนำ Piano Sonata in C K545 Movement 1 ของคุณพี่ Mozart นะคะ เปิดเพลงมาปุ๊ปนั่นแหละ Alberti bass (เสียง Background นะคะ ไม่ใช่เสียงเมโลดี้) Alberti bass นิยมมากในยุคคลาสสิคค่ะ แต่ว่าอย่างไรก็ดี แพทเทิร์นเช่นนี้ก็มีหลุดๆ ออกไปถึงยุคโรแมนติกบ้างเหมือนกันนะครับ
ยุค Classic การรวมวงอลังการงานสร้างมากขึ้น และมากขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ เพลงซิมโฟนี่หรือพวกคอนเซอร์โต้ถูกประพันธ์ขึ้นเพื่อเครื่องดนตรีเป็นร้อยชิ้น แทนที่วงเล็กๆ นี่เรียกว่าจุดเด่นของยุค Classic อีกจุดนึงก็ได้นะคะ ใครที่เป็นนักประพันธ์ยุคนี้ก็ต้องแต่งซิมโฟนี่เพื่อโชว์ความสามารถทางด้านดนตรีกัน นอกจากนี้เครื่องดนตรีที่หลากหลายขึ้นก็ก่อให้เกิดแบบแผนการเล่นต่างๆ กันมากมาย ผู้ประพันธ์จับคู่เครื่องโน้นกับเครื่องนี้ ประพันธ์วงสำหรับเครื่องโน่นนั่นนี่แตกต่างกันออกไปอีก
ยุคคลาสสิคตอนต้นถึงตอนกลางเน้นเรื่องระเบียบแบบแผนอยู่มากค่ะ โน้ตที่อยู่นอกกฏการแต่งเพลงมักจะต้องทำเนียนๆ แอบๆ เข้ามาในรูปของโน้ตประดับที่เรียกว่า ornament เช่นพวก trill, turn, mordent เป็นต้น แต่ทว่าพอเข้าสู่ยุคคลาสสิคตอนปลายมีใครบางคนถือกำเนิดขึ้นค่ะ ลุงแก่ขี้โมโหนามบีโธเฟ่นนั่นเอง ลุงท่านนี้เป็นเหมือนบุคคลที่ "คิดนอกกรอบ" เพลงบางเพลงที่แต่งนอกกฏเกณฑ์ของเขามันก็โด่งดังมากนะคะ แต่สำหรับบางเพลงเมื่อเล่นให้ใครฟังคนสมัยก่อนก็ดูท่าว่าจะรับกันไม่ได้ เพราะมันแนวเกินไป อย่างไรก็ดีเพราะเขายังคงมั่นใจอยู่อย่างนั้นที่จะเป็นตัวของตัวเองตลอดเวลา จึงทำให้เพลงปลายยุคคลาสสิคมีชีวิต มีอารมณ์มากขึ้น จนกลายเปลี่ยนเป็นยุคโรแมนติกไปได้ในที่สุดครับ
นักประพันธ์เด่นๆ และเพลงดังๆ ของยุค Classic
3 ปรามาจารย์ ยุคคลาสสิค
3 ปรามาจารย์!!! ที่ควรจะกล่าวถึงเมื่อพูดถึงยุคคลาสสิค นั่นก็คือ Haydn, Mozart, และ Beethoven ค่ะ
Joseph Haydn นักประพันธ์ชาวออสเตรีย เขาเกิดประมาณปลายยุค Baroque ซึ่งตอนนั้นฟอร์มของโซนาต้ายังเป็นแบบ Baroque คือไม่มีแบบแผนแน่ชัด และมีแค่มูฟเม้นท์เดียว อย่างโซนาต้าของ Scarlatti เจ้าพ่อโซนาต้า 555 เบอร์นั่น Haydn ปฏิวัติรูปแบบของโซนาต้า จนมีฟอร์มเป็นแบบเฉพาะของยุคคลาสสิค โซนาต้าที่บรรจุมูฟเม้นท์ 3 ท่อน นิยมเล่น เร็ว - ช้า - เร็ว สลับท่อนกันเพื่อเป็นสีสรรให้กับผู้ฟัง นอกจากนี้ Haydn ยังถือว่าเป็น บิดาแห่งซิมโฟนี่ และ บิดาแห่งวงเครื่องสาย เพราะเขาเป็นคนพัฒนาเพลงประเภทนั้นๆ ขึ้นมาให้เป็นแบบฉบับของยุคคลาสสิค เพลงดังของเขาหนีไม่พ้น Symphony in G No94 หรือที่เรียกในชื่อของ "Surprise" Symphony เพลงสนุกๆ ขำๆ ที่พอเงียบๆ ก็ดังขึ้นกระแทกจนทำให้เราตกกะใจ และอดหัวเราะตัวเองไม่ได้
Amadius Mozart คนนี้ดังและใครๆ ก็รู้จักเขา ด้วยการประพันธ์ที่มีแนวเฉพาะตัว สดใสและร่าเริง Mozart เป็นอัจริยะตั้งแต่เด็ก เขาแต่งซิมโฟนี่ผลงานแรกของเขาเมื่อตอนอายุสัก 7-8 ขวบเท่านั้น ผลงานของเขามีดังๆ อยู่มากมาย ที่ติดหูคงจะหนีไม่ผลพ้นงานประพันธ์โอเปร่าเรื่อง The Marriage of Figaro และ The Magic Flute เขาเป็นนักประพันธ์คนแรกที่ปฏิวัติงานประพันธ์โอเปร่าจากที่ต้องใช้ภาษาอิตาเลี่ยน (ซึ่งชนชั้นล่างผู้ที่ไม่ได้รับการศึกษาในออสเตรียจะฟังไม่ออก) เปลี่ยนมาใช้ภาษาเยอรมันเพื่อทำให้คนฟังง่ายและเข้าใจเนื้อเรื่อง การกระทำเช่นนี้ถือว่าต้องใช้ความกล้ามากในสมัยก่อนเพราะภาษาอิตาเลี่ยนถือเป็นภาษาของชนชั้นสูง เป็นภาษาที่คริสตจักรใช้ (ศูนย์กลางของศาสนาอยู่ที่อิตาลี่) และยังเป็นภาษาที่เหมาะกับงานทางด้านศิลปะมากกว่าภาษาเยอรมันที่ใครๆ ใช้งานพูดคุยปกติในชีวิตประจำวัน และนอกจากงานประพันธ์โอเปร่าแล้ว Mozart ยังประพันธ์ Sonata สำหรับเครื่องดนตรีต่างๆ ไว้หลากหลาย ที่แต่งไว้เยอะก็เห็นจะเป็น Sonata สำหรับเปียโน Piano Sonata เบอร์ที่ติดหูที่สุดหนีไม่พ้น Piano Sonata in C K545 ที่เขาแต่งไว้เป็นแบบฝึกหัดให้สำหรับเด็กที่เพิ่งเริ่มต้นเล่นเปียโน
สุดท้ายคือ Ludwig van Beethoven นักประพันธ์ชาวเยอรมัน ที่บั่นปลายหูหนวกจนใครพูดอะไรก็ไม่ได้ยิน เขาเป็นลุงที่คิดนอกกรอบมากที่สุดจนทำให้เกิดยุคต่อจากคลาสสิค นั่นก็คือยุคโรแมนติกที่เพลงเริ่มสื่อถึงอารมณ์และมีความหมาย กล่าวกันว่าผลงานของ Mozart มีแรงจูงใจให้ Beethoven อยู่มาก ทั้งคู่เคยพบกัน ขณะที่ Beethoven กำลังเล่นเปียโนอยู่ในโบสถ์ Mozart ได้เข้ามาตบไหล่ทักทายพร้อมทั้งเอ่ยว่า "ไอ้หนุ่มนี่อนาคตรุ่งแน่ๆ" และแล้ว Beethoven ก็รุ่งจริงๆ ผลงานของเขาโด่งดังเอามาก เพลงที่ดังสุดๆ ของเขา ก็คงหนีไม่พ้น Symphony No5 in C Major ที่ใครๆ ก็คงรู้จัก Beethoven เขียน Symphony ไว้แค่ 9 เบอร์ ถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับ Symphony ของท่านอื่นๆ แต่ด้วยว่าเขาใช้เวลานานกับ Symphony แต่ละเบอร์ โดยเฉพาะเบอร์สุดท้าย Symphony No9 in Dminor ซึ่งขณะนั้นหูของเขาอยู่ในขั้นวิกฤตเต็มที่ เลยทำให้การแต่งใช้เวลานานกินเวลา 7-8 ปีได้

สามยุคสำคัญของประวัติศาสตร์ดนตรีตะวันตก (ตอนที่ 1) - Baroque

สามยุคสำคัญของประวัติศาสตร์ดนตรีตะวันตก (ตอนที่ 1) - Baroque
เรื่องที่เราจะพูดในวันนี้เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจเอามากๆ นั่นก็คือเรื่องของยุคที่แตกต่าง ที่ส่งผลต่อสไตล์ของเพลงที่ต่างกันออกไปค่ะ ฉันคงไม่ย้อนประวัติศาสตร์มากจนเกินไป ถึงขนาดยุคไดโนเสาร์เขาเล่นเพลงกันอย่างไร ฉันขอเจาะแคบลงมาที่ช่วงเวลาที่เรียกว่า Common Practice Period แล้วกันนะคะ ซึ่งช่วงเวลาตรงนี้กินพื้นที่ 3 ยุคหลักๆ ด้วยกันนั่นก็คือ บาโรค คลาสสิค และโรแมนติก นั่นเอง
ช่วงเวลาที่เรียกว่า Common Practice Period
ช่วงเวลาของ Common Practice Period เหมารวมตั้งแต่ปี 1600 - 1910 นั่นก็คือรวม ยุคบาโรค คลาสสิค โรแมนติก เอาไว้ จุดเด่นของช่วงเวลาตรงนี้คือการแต่งเพลงตามกฎเกณฑ์ การใช้ฟอร์มคอร์ด หรือการแต่งเพลงตามแบบแผนค่านิยมที่เชื่อว่าจะออกมาเพราะและเหมาะสม (เช่น การเดินคอร์ด I - IV - V - I หรือการหลีกเลี่ยงขนานคู่ 5 หรือคู่ 8 ในการแต่งเพลง) ส่วนคำที่เรียกรวมสามยุคนี้ว่า Common Practice Period นั้นมาจากคำนำในบทความชื่อ Harmony ที่ Walter Piston นักแต่งเพลงชาวอเมริกันเป็นผู้เขียนขึ้น
ก่อนหน้า Common Practice Period เขาได้แบ่งยุคทางดนตรีเด่นๆ ออกมา เป็นยุค Medieval หรือดนตรียุคกลาง (เป็นยุคหลังจากอาณาจักรโรมันกำลังเสื่อมถอย) และยุค Renaissance (ยุคที่ศิลปะของอิตาลีเฟื่องฟู) สองยุคนี้ดนตรีเพิ่งจะเริ่มเป็นดนตรีแบบ Polyphony ได้ไม่นานนัก
Polyphony ในทางดนตรีจะหมายถึงดนตรีที่ประสานแนวเสียงมากกว่าสองแนวขึ้นไป อ่านประโยคสักครู่อาจจะอ่านไม่ค่อยเข้าใจนัก ให้เราลองนึกภาพคนสองคนกำลังร้องเพลงคนละเพลงที่มีเมโลดี้ไม่เหมือนกันเลย (แต่อาจจะมีการล้อเลียนเสียงหรือการก๊อปๆ เพลงของอีกคนให้ฟังคล้ายๆ เพลงเดียวกันในบางช่วง) ในตอนที่เราฟังคนแรกร้องจากนั้นไปฟังคนที่สองร้อง เราพบว่าสองคนนี้ร้องคนละเพลงจริงๆ แต่พอให้สองคนนี้มาร้องพร้อมกัน มันก็ออกมาฟังไพเราะเสนาะหูได้อย่างหน้าตาเฉย ความสอดคล้องของเพลงสองเพลงเข้ากันได้อย่างดี ทั้งๆ เมื่อครู่ฟังแยกกันร้องเราก็คิดว่าเป็นคนละเพลงกันแท้ๆ นี่ก็คือ Polyphony ค่ะ เพลงแนวนี้อาศัยการแต่งเพลงที่ปราณีต เพราะผู้แต่งต้องนั่งคำนวณว่าเมื่อโน้ตตัวนั้นไปเจอกับโน้ตตัวนี้มันจะเข้ากันหรือไม่ การประสานของแนวไม่ใช่แค่สองแนวอย่างที่กล่าวในตัวอย่าง เหมือนคนสัก 20 คน หรือเครื่องดนตรีสัก 20 ชิ้นเล่นเพลงคนล่ะเพลงแต่เมื่อเล่นพร้อมกันต้องออกมาเป็นเพลงเดียวกันให้ได้
หลังจาก Medieval era และ Renaissance Era ยุคที่เกิดขึ้นนั่นก็คือ Baroque ที่เรากำลังจะกล่าวถึง
เรามาเริ่มต้นกันที่ยุคบาโรค (Baroque)
ยุคบาโรค
ยุค Baroque นั้นตามหลังยุค Renaissance มาติดๆ การแบ่งแยกยุค Baroque ออกจาก Renaissance เกิดขึ้นที่อิตาลี กลุ่มนักวิชาการ Florentine Camerata นักวิชาการด้านศิลปะของอิตาลีได้แบ่งยุคทางศิลปะนี้ออกมาเป็นยุค Baroque ตามศิลปะที่ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงออกจากยุคเก่า ยุค Baroque จึงไม่ใช่ชื่อยุคทางดนตรีเท่านั้น หากแต่เป็นยุคที่แบ่งเรื่องของ ศิลปะทั้งจิตกรรมและปฏิมากรรม รูปปั้น งานสถาปัตยกรรม งานเขียนบทกวี ฯลฯ ที่เป็นงานศิลป์ คำว่า Baroque มาจากภาษาโปตุเกสอีกที มีความหมายทางภาษาอังกฤษว่า Misshapen Pearl (ขออภัยเพราะฉันก็ไม่ทราบว่าคำนี้ต้องการจะหมายถึงอะไรเช่นกันค่ะ แต่เขาใช้อธิบายงานสถาปัตยกรรมที่วิจิตรมากในยุค Baroque)
อย่างที่บอกว่ากลุ่มนักวิชาการด้านศิลปะเริ่มเห็นการพัฒนาที่แบ่งชัด ในตอนต้นของยุค Baroque ความต่างทางดนตรีนั้นจะเห็นได้ชัด ที่เริ่มมีการแต่งเพลงให้เสียงคนร้องนำฟังชัดเจนและมีการเล่นดนตรีคลอตามเป็นเสียงพื้นหลัง แทนที่จะร้องเพลงแข่งกันหรือทำให้เสียงตีกันชัดเจนลักษณะแบบ Polyphony เพียวๆ อย่างของยุค Renaissance ชอบใช้ เพลงที่แต่งขึ้นในยุค Baroque ช่วงต้นลักษณะเอื้อให้เสียงคนร้องโซโล่ฟังชัดถูกใช้ในละครเพลงเรื่อง Dafne และ L'Euidice ของผู้ประพันธ์ Jacopo Peri บุคคลในรูป (ละครเพลงและเพลงนั้นมีมาก่อนหน้าแล้วค่ะ แต่ว่า Peri เป็นคนมาประพันธ์ใหม่ให้ท่อนร้องโซโล่ชัดเจนและมีเสียงดนตรีเล่นแอคคอม) และนี่ก็เป็นเหมือนจุดแรกเริ่มของการเกิดละครเพลงอย่างโอเปร่าจนทุกวันนี้
ในคลิปต่อไปนี้ก็จะเป็นเพลงในละครเพลงเรื่อง L'Euidice ที่ Jocopo Peri ประพันธ์ขึ้น

ระบบการแต่งเพลงยิ่งชัดเจนและต่างกับ Renaissance มากขึ้นเมื่อมีแนวคิดเกี่ยวกับ Figured bass หรือระบบการว่างแนวเบส และระบบกฏเกณฑ์การประสานเสียงใหม่ ไม่ใช่แค่การบันเทิงที่ต้องการเสียงร้องที่ฟังชัด ในทางศาสนจักรเอง เพลงที่ถูกแต่งขึ้นในยุค Renaissance เสียงสวดฟังแล้วตีกันไม่ชัดเจน การแต่งเพลงต้องอาศัยเสียงประสานและระบบที่ดีขึ้น การเพิ่มแนวประสานที่เชื่อมเสียงร้องกับเสียงเบสต่ำเกิดขึ้นเพื่อเสริมความชัดเจนของบทสวดต่างๆ แนวการแต่งเพลงแบบที่มีระบบการคำนวณเสียงประสานว่าโน้ตตัวใดควรคู่อยู่กับโน้ตตัวใดมีระยะห่างกันกี่ช่วงเสียงนี้เรียก Homophony
ความจริง Homophony ไม่ได้เกิดในยุค Baroque แต่ Baroque ทำให้ Homophony ใช้งานได้จริง Homophony แตกต่างจาก Polyphony ตรงที่เสียงประสานในแต่ละแนวสร้างจากคอร์ดและดำเนินไปพร้อมๆ กัน อธิบายกันให้เข้าใจยิ่งขึ้นคือ Homophony ถ้าเราฟังสองคนร้องเพลง มันดูเหมือนว่าสองคนนี้ร้องเพลงเนื้อออกมาเหมือนกันเลย เช่นร้องคำว่า "ฉันรักเธอ" เหมือนกัน แต่อีกคนร้อง "ฉันรักเธอ" ในตัวโน้ต "โด โด โด" แบบเสียงต่ำๆ ส่วนอีกคนร้อง "ฉันรักเธอ" ในตัวโน้ต "โด มี ซอล" แล้วก็ทำเสียงสูงๆ อีกต่างหาก เมื่อทั้งสองคนร้องเพลงนี้พร้อมกัน ปรากฏว่ามันมันก็กลายเป็นประสานกันได้อย่างลงตัว เมื่อนักแต่งเพลงยุคบาโรคเริ่มต้นสร้างระบบเสียงเบส หรือเพิ่มแนวประสานที่เชื่อมเสียงร้องกับเบสเพลงก็จะชัดเจนขึ้น ระบบ Homophony จึงเวิร์คมากในวงการร้องคอรัสในโบสถ์ การแบ่งเสียงออกเป็น 4 แนว soprano alto tenor และ bass เป็นที่นิยมจนถึงทุกวันนี้ ส่วนวิธีการแต่งเพลงลักษณะนี้เขาเรียกการใช้ Counterpoint ภาษาไทยแปลตรงๆ ว่าจุดที่มาประจัญหน้ากัน ถ้าจะให้เดาก็คงจะหมายถึงคนแต่งเพลงต้องหาโน้ตที่มาประจัญกันและจับมันสอดประสานให้เข้ากัน ผสมกันให้ลงตัวให้ได้
ในกลางยุค Baroque เรื่องราวของบทกวีพัฒนาขึ้นมาก และในยุคนั้นสิ่งพิมพ์มีบทบาทเพิ่มขึ้นทางสังคม ผู้คนทราบข่าวสารได้ไว ได้อ่านวรรณกรรมดีๆ ละครเพลงโอเปร่าดึงดูดผู้ชมได้มาก ดนตรีสามารถพัฒนาไปได้เร็วตามค่านิยมของผู้คนในสมัยนั้น ยิ่งด้วยสิ่งพิมพ์แพร่หลายข่าวสารการจัดแสดงละครกระจายออกเป็นวงกว้างก็ยิ่งเป็นลูกโซ่ให้ดนตรีพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ เมื่อโอเปร่าโด่งดังและมีผู้คนสนใจดนตรีกันมาก ดนตรีจึงถูกยกระดับให้เป็นงานศิลปะแขนงหนึ่ง มีการเรียนการสอนระบบการทำ Counterpoint กันอย่างเป็นจริงเป็นจัง
ปลายยุค Baroque จุดเปลี่ยนที่ชัดที่สุด แนวการทำ Counterpoint แบบที่สืบต่อมาจากการวางแนวประสานแบบ Polyphony ตามยุค Renaissance ได้รับการปรับปรุงพัฒนาใหม่เอี่ยม Counterpoint แบบใหม่ได้รับการผสมผสานรูปแบบของ ระบบการแต่งเพลงแบบ Homophony (ที่ร้องเพลงเนื้อเหมือนกันแต่เปลี่ยนเมโลดี้) กับ ระบบการแต่งเพลงแบบ Polyphony (ที่ร้องกันคนละเพลงแต่เอามาผสมกัน และอาจจะมีการล้อเลียน หรือก๊อปๆ เสียงของแนวข้างเคียงบ้าง)
สิ่งต่างๆ ที่กล่าวข้างต้นทำให้เราแยก Baroque ออกจากเพลงยุคที่เก่ากว่า เพราะถึงแม้สมัยก่อนหน้า Baroque จะมีแนวการแต่งแบบ Polyphony และ Homophony แต่ความสับซ้อนนั้นเทียบกันไม่ติด ยิ่งด้วยยุค Baroque เครื่องดนตรีได้รับการพัฒนา มีเครื่องดนตรีใหม่ๆ เกิดขึ้น ทักษะผู้เล่นที่ดีขึ้น ลูกเล่นลูกประดับ Ornament อย่างการ Trill การ Turn ทำให้เพลงมีจริตจะก้านเพิ่มพูนเห็นเด่นชัด จึงทำให้ความยากให้การแต่งเพลงมากเพิ่มทวีคูณเพื่อเอื้อต่อการโชว์ความสามารถของนักแสดง นักร้อง นักดนตรี
นักประพันธ์ที่เด่นๆ และเพลงดังๆ ของยุค Baroque
นักประพันธ์เด่นๆ และเพลงดังๆ ยุคบาโรค
เก่าจริงๆ ก็คงเป็น Jacopo Peri ในรูปข้างต้นที่เห็นหน้าค่าตากันไป กับเพลงที่เพิ่งดูในคลิปเมื่อครู่นะคะ สำหรับนักดนตรีที่ค่อนข้างมีชื่อของ Baroque นั้นมักจะเป็นนักประพันธ์ยุค Baroque ตอนปลายแล้วครับ
คนแรกที่คิดว่าพูดชื่อแล้วต้องมีคนรู้จักบ้างก็ Domenico Scalatti นักประพันธ์ชาวอิตาลีที่ชีวิตอาศัยอยู่ในโปรตุเกสและสเปนมากกว่าบ้านเกิด Scalatti แต่งโซนาต้าไว้เยอะมาก 555 บท (ไม่ได้ขำนะ เขาแต่งมาห้าร้อยห้าสิบห้าบท) ถ้าอยากฟังเพลงของเขาก็สุ่มโซนาต้ามาสักเบอร์ ตั้งแต่ Sonata Kk.1 จนถึง Sonata Kk.555 ก็จะได้ไอเดียมากขึ้นครับ
คนต่อมาทำให้โลกสีสันสดใสกับบทเพลงเปิดรับสี่ฤดูกาล ที่โฆษณาซเว่นเซนส์มักใช้เปิดฤดูการไอศครีมที่มีผลไม้หน้าตาหวานฉ่ำ Antonio Lucio Vivaldi นักแต่งเพลงและนักไวโอลินมือพระกาฬในสมัยนั้น (นอกจากนี้เขายังเป็นพระเป็นอาชีพเสริมด้วย) บทเพลงเด่นๆ ก็อย่างที่บอกไปนั่นคือ Le quattro stagioni หรือ The Four Seasons ที่แค่ได้ยินชื่อเสียงไวโอลินก็ลอยมาเสียแล้ว Vivaldi แต่งโอเปร่าไว้ถึง 40 กว่าชิ้น และ Concerto กว่า 500 รายการครับ
ที่ดังที่สุดของยุค Baroque ใครๆ ก็รู้จักเห็นจะไม่พ้น Johann Sebastian Bach คุณปู่นักประพันธ์ชาวเยอรมัน Bach เกิดขึ้นก็ปลาย Baroque สุดๆ แล้วค่ะ เพราะงั้นเพลงของ Bach จึงค่อนข้างโชว์ความสามารถที่ยุคบาโรคกำลังอิ่มตัวได้อย่างเต็มที่สุดๆ Bach แต่งเพลงเอาไว้มากมาย ที่จะแนะนำได้แก่ Brandenburg concertos, Goldberg Variations (ชิ้นนี้เขาว่ากันว่าเป็นเพลงที่มีเสียงสวยงามที่สุดในโลกนะคะ ~ เขาว่ากันอย่างงั้น), สุดท้ายก็คือผลงานที่นักเปียโนรู้จักกันดีอย่างบท Prelude and Fugue ต่างๆ ใน Well-Tempered Clavier 
สุดท้ายที่เรียกว่ามาหลังแต่ดังนะ George Frideric Handel นักประพันธ์ลูกครึ่งเยอรมัน-อังกฤษ เขามาที่หลังเพลงของเขาจึงมีอิทธิพลสูงต่อยุคหลังจาก Baroque นั่นก็คือยุคคลาสสิค เพลงที่ดังมากๆ ของเขาชื่อ The Harmonious Blacksmith จริงๆ แต่ก่อนเพลงเก่าๆ จะไม่มีใครตั้งชื่อหรอกค่ะ ชื่อนี้มีคนมาตั้งให้ทีหลังซึ่งจนทุกวันนี้ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าใครเป็นคนตั้งนะครับ
ฉันขอจบเรื่องราวของยุคบาโรคเอาไว้ตรงนี้แล้วกันค่ะ ความจริงเรื่องราวที่เล่ามาเป็นเพียงเรื่องคร่าวๆ ที่พยายามตัดทอนรายละเอียด เนื่องจากยุคบาโรคค่อนข้างเก่า การอธิบายทำได้แค่เพียงคร่าวๆ เพราะฉันเองยอมรับว่าอ่านเรื่องราวมาบางอย่างก็ไม่เห็นภาพและไม่อาจจะเขียนลงละเอียดได้ เรื่องราวในตอนต่อไปนั้นจะเป็นยุคถัดจากบาโรค นั่นคือยุคคลาสสิคที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อยทีเดียวค่ะ ช่วยติดตามกันด้วยนะครับ

- Copyright © 2013 Music History - Ore no Imouto - Powered by Blogger - Designed by Johanes Djogan -